Ghost Lab ฉีกกฎทดลองผี... อีหยังวะ?
.
ตอนแรกบอกตรงๆ ว่าค่อนข้างอคติ คือดูขัดตาเหลือเกินกับภาพไอซ์ พาริสใส่เสื้อกาวน์เก๊กหน้าประกาศก้องว่า "กูว่ากูเกิดมาเพื่อพิสูจน์ว่าผีมีจริง!!" (โอ้วก็อช เท่เหี้ยๆ) คือมันไม่เชื่อตั้งแต่แรกแล้วว่ามึงเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็อ่ะ คนเราไม่ควรตัดสินหนังสือจากคำนิยมหลังปก รอดูให้จบแล้วค่อยมาด่าละกัน
.
และตอนนี้ก็ดูจบแล้ว หึหึ
.
คือมัน... จะว่าไงดีล่ะ เอาเรื่องที่ดีก่อนละกัน เรื่องที่ดีคือไม่มี 555 พูดกันตรงๆ ก็ต้องบอกว่า โปรดักชันดี งานภาพดี แอ็กติ้งดี นักแสดงดี แต่พอเอามารวมกันเป็นหนังแล้ว แม่งอีหยังวะมากๆ
.
ปัญหาก็คงหนีไม่พ้นพล็อตเรื่องอีกนั่นแหละ ที่หน้าหนังโฆษณาไว้ว่าเป็นแนวไซไฟ-สยองขวัญ เอาเข้าจริงมันคือหนังสยองขวัญ... ที่ก็ไม่ได้มีอะไรให้สยองเท่าไรนอกจากมุกตุ้งแช่ Jump Scare แบบไร้ชั้นเชิงมาก ประเภทเดินอยู่ในที่มืด บิ้วเพลงให้ถึงขีดสุดแล้วก็...! เงียบ... ผ่าง!!! อะไรแบบเนี้ย (แล้วเหมือนกับกลัวไม่สะใจ ใส่จังหวะแบบนี้มาทุกๆ 1 นาทีเลยจ้า ในช่วงแรกๆ ที่กำลังสำรวจผีกันอยู่เนี่ย)
.
สิ่งที่เราว่าเป็นจุดอ่อนมากๆ คือ การนำเสนอที่ตัดโฉ่งฉ่าง (สไตล์ผู้กำกับเขาล่ะ) จนมันไม่รู้สึกว่าเป็นจริง บวกกับการเล่นใหญ่แบบละครเวทีของตัวละคร ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกอิน ยังไงก็ดูเป็น "ละครเวที" อยู่ดี แล้วก็เรื่องของการทดลองวิทยาศาสตร์ ที่ตัวละครพยายามย้ำนักย้ำหนาว่า เราจะใช้วิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ผี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สักเท่าไรเลย
.
ลองนึกไปถึงวิทยาศาสตร์สมัยม.ต้น ที่ครูสอนว่ามันเริ่มต้นจากการตั้งสมมติฐาน ทำการทดลองซ้ำๆ เก็บข้อมูล แล้วก็สรุปผล แต่การพิสูจน์ผีของพวกตัวเองเหมือนกับแค่กำลังเก็บข้อมูลๆๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ไม่มีทิศทางที่ชัดเจนว่าต้องการอะไรกันแน่ แถมบางช่วงยังมีการแทรกมุกตลกแปลกๆ ลงไปจนเสียอารมณ์ (คิดภาพว่าคุณนำเสนองานซีเรียสๆ แล้วลูกค้าแม่งเล่นมุกขัดจังหวะคุณตลอดเวลานั่นแหละ) องก์แรกของหนังเลยเป็นการเล่าว่า ผีมีจริงนะ แต่เราจะพิสูจน์ยังไง จนไปถึงไคลแม็กซ์ของช่วงแรกที่พอพิจารณาดีๆ ก็งงกับการตัดสินใจของตัวละครอีก นี่ยังไม่พูดถึงความ "เบียว" ของสองตัวเอกที่ดูยังไงก็ไม่อินอ่ะ ไม่เชื่อว่าสองคนนี้ฉลาดจริง ดูยังไงก็เป็น "ต่อกับไอซ์" พยายามทำตัวเป็นหมอ ไม่ได้ดูเป็นหมอที่เป็นหมอทดลองวิทยาศาสตร์เลย
.
พอเข้าองก์ที่สองนี่เริ่มน่าสนใจ มีการแทรกปริศนาเข้ามาเป็นระยะ แต่ก็ถูกคลี่คลายไปในเวลาไม่นานจนไม่เหลืออะไรให้เก็บไปเชื่อมโยงต่อตอนท้าย ซึ่งก็คือองค์ที่สามของหนัง ที่จู่ๆ ก็กลายเป็นแบบ... อะไรวะเนี่ย คือเราว่าน่าสนใจนะเรื่องอารมณ์และการกระทำของตัวละครในองก์นี้ แต่พอมันไม่ได้ปูมาตั้งแต่แรก ก็เลยเหมือนจู่ๆ จับยัดเข้ามาเพื่อปิดเรื่องให้ได้งั้นแหละ
พูดถึงเรื่องการปูตัวละคร ตัวละครมันไม่ได้เป็นกราฟที่เริ่มจากศูนย์แล้วลากไปเรื่อยๆ จนมาถึงตอนท้ายเลย การกระทำของตัวละครดูขัดกันเอง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อย่างตัวลครตัวนึงตอนแรกบอกว่าทุ่มเทให้กับการทดลอง พอตอนหลังจู่ๆ ก็ไม่อยากให้ทดลองแล้วเพราะห่วงเพื่อน ส่วนเพื่อนที่ตอนแรกดูไม่ค่อยอยากจะทดลองเท่าไร จู่ๆ ก็กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์สติวิปลาสขึ้นมาซะงั้น
.
แล้วก็มีอัลฟ่าซอมบี้โผล่มาตอนท้ายด้วย... จริงๆ นะ! เพิ่งดู Army of the Dead มา คิดว่าครอสโอเวอร์กัน (ฮา)
.
ต่อไปนี้มีสปอยล์นะที่จะบ่น
.
.
.
.
.
.
.
.
.
- ช่วงก่อนจบองก์แรก หมอวี (ต่อ) ยอมฆ่าตัวตายเพื่อกลายเป็นผี ทั้งที่ก่อนหน้านั้นดูไม่เชื่อในโปรเจ็กต์ของเพื่อน อันนี้พอจะเข้าใจได้เพราะเพิ่งสูญเสียแม่ไป สภาพจิตใจยังไม่ปกติ แต่หมอกล้า (ไอซ์) เนี่ยสิ ตอนแรกห้ามเพื่อนจะเป็นจะตายแท้ๆ ถึงขั้นทะเลาะกันใหญ่โต แต่พอเห็นเพื่อนได้สติไม่ฆ่าตัวตายแล้ว ก็แย่งปืนมากรอกปากตัวเอง ขยิบตาหนึ่งทีอย่างเท่ก่อนจะลั่นไกตายเองซะงั้น อะไรวะ!?
- องก์ที่สอง หลังจากพบว่าผีหมอกล้าแสดงพลังได้เพราะจะช่วยชีวิตหมอวีในยามคับขัน หมอวีก็พยายามให้เพื่อนปรากฏตัวออกมาอยู่เรื่อยๆ จะได้พิสูจน์การมีอยู่ของผี เดี๋ยวนะ... มึงลืมไปรึเปล่าว่าเพื่อนมึงติดต่อกับมึงผ่านคอมพิวเตอร์ได้ง่ายยิ่งกว่าผีถ้วยแก้ว ทำของกระเด็นก็ได้ นี่แม่งไม่ต้องอะไรแล้ว ตั้งกล้องถ่ายพิสูจน์ได้เลย ชัดเจน!
- หมอกล้าลุ่มหลงอยู่กับการทดลองถึงขั้นยอมตายเป็นผีเพื่อกลับมาสื่อสารกับเพื่อนให้พิสูจน์การมีอยู่ของผี แต่จู่ๆ ก็ทิ้งภารกิจของตัวเอง ไปขอกินต้มข่ากับเที่ยวทะเล เพื่อให้แม่และแฟนคลายเศร้า แล้วก็หายไปไม่ค่อยติดต่อกับเพื่อนแล้ว เฮ ดีจัง... ภารกิจมึงล่ะเฮ้ย!?
- จริงๆ ไม่คิดอยู่แล้วว่าสองคนนี้จะได้ขึ้นปกนิตยสารระดับโลกอะไรหรอก งานวิจัยมึงทำผิดขั้นตอนมาตั้งแต่แรกแล้ว เหมือนตั้งใจจะเปิดร้านกาแฟ แต่ไปโฟกัสกับการซื้อผัดกะเพรามาทำอาหารประจำร้านให้อร่อยอ่ะ แล้วสุดท้ายก็ทะเลาะกับเพื่อนเพราะว่าไม่อยากให้เพื่อนลุ่มหลงกับการเปิดร้านกาแฟ เดี๋ยวๆ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
จริงๆ เราว่าถ้ามั่นใจตัวเองกว่านี้อีกสักหน่อย น่าจะมีวิธีนำเสนอได้น่าสนใจเลยนะ เช่นเสนอด้วยการทำเป็น Vlog สไตล์กึ่งๆ Found Footage หรือเน้นความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ลดการแสดงแบบโอเวอร์แอ็กติ้งลง โฟกัสที่การทดลองและความลุ่มหลงจนขาดสติ แทนที่จะเอาเวลาไปขยี้ดราม่าเยอะๆ (ที่เป็นแค่ซับพล็อต) ไม่ต้องพยายามเอาใจคนดูที่เป็นแฟนคลับสองหนุ่ม ไม่ต้องกลัวว่าคนไทยจะเข้าไม่ถึง คือเราเชื่อว่าฝีมือระดับผู้กำกับที่ชื่นชอบหนังสยองขวัญอย่างพี่กอล์ฟเนี่ยคงดูหนังมาไม่น้อย แต่อาจจะติดเรื่องการตลาดและทิศทางของหนังที่ผู้อำนวยการสร้างอยากให้เป็น ผลลัพธ์เลยออกมาแบบนี้ สุดท้ายแล้ว GDH ก็ยังเป็น GDH คือมีไอเดียและฝีมือในการทำ แต่สุดท้ายก็เลือกทำแบบเพลย์เซฟอยู่ในคอมฟอร์ตโซนเหมือนเดิม
.
เอาไป 6/10 พอจ้ะ
.
ปล. จะว่าไป ถ้านับ "มาตรฐานหนัง Netflix" ที่ผ่านๆ มาซึ่งมักจะออกมาในแนวเบลนด์ๆ เรื่อยๆ ไม่มีอะไรดีเด่ Ghost Lab ถือว่าฉีกออกมาไม่น้อย มีจุดพีค มีจุดระทึก มีการคิดพล็อตไลน์ที่ดีเลยแหละ แต่อย่างที่บอก พอจัดเรียงทุกอย่างได้ไม่ค่อยดีมันก็เลยล้มตึง น่าเสียดาย
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...